มารู้จักสเต็มเซลล์

    สเต็มเซลลหรือ เซลล์ต้นกำเนิด เป็นเซลล์อ่อนที่ไม่มีหน้าที่ของเซลล์ ที่เฉพาะเจาะจง สามารถแบ่งตัวเองขึ้นมาใหม่ได้ และพร้อมจะเจริญเติบโต เปลี่ยนแปลงเพื่อไปทำหน้าที่หนึ่งที่เฉพาะเจาะจงได้ หรือกลายเป็นเซลล์ของเนื้อเยื่อชนิดต่างๆ ในร่างกายได้
โดยปกติเซลล์แต่ละเซลล์ในร่างกายมนุษย์จะทำหน้าที่จำเพาะอย่างใดอย่างหนึ่ง จะไม่ย้อนกลับมาเป็นสเต็มเซลล์หรือเซลล์ต้นกำเนิดอีก สเต็มเซลล์มีศักยภาพที่จะพัฒนาไปเป็นเซลล์ต่างๆ ในร่างกายได้เกือบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นเซลล์ผิวหนัง เซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์ประสาท เซลล์สมอง เซลล์เม็ดเลือด ฯลฯ โดยครอบคลุมเซลล์เนื้อเยื่อ 3 ประเภท ได้แก่

  1.  Endoderm ได้แก่ เซลล์ตับ เซลล์ไต เซลล์ต่อมไธรอยด์
  2.  Mesoderm ได้แก่ เซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์กระดูก เซลล์เม็ดเลือด เซลล์เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน
  3.  Ectoderm ได้แก่ เซลล์ผิวหนัง เซลล์ประสาท เซลล์ทางเดินอาหาร


      Stem Cell นั้น จัดเป็นเซลล์ที่มีชีวิตชนิดหนึ่งพบในอวัยวะเกือบจะทุกส่วนของร่างกาย ซึ่งเจ้าเซลล์ต้นกำเนิดนี้สามารถที่จะแบ่งตัวมันเองเพื่อไปทำหน้าที่อย่างใด อย่างหนึ่งได้ และยังสามารถเพิ่มจำนวนได้ด้วยตัวของมันเองอีกด้วย และเมื่อ Stem Cell เปลี่ยนแปลงตัวมันเองไปทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว มันจะไม่ย้อนกลับมาเป็น Stem Cell อีก โดยเซลล์ต้นกำเนิดสามารถพัฒนาตัวมันเองไปเป็นเซลล์ร่างกายได้เกือบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น เซลล์ผิวหนัง เซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์ประสาท เซลล์สมอง เซลล์เม็ดเลือด ฯลฯ ดังนั้นแล้วเมื่อเรารับประทาน Double Stem Cellเข้า ไป ก็จะทำให้เซลล์ต้นกำเนิดในร่างกายของเราเพิ่มมากขึ้น นั่นก็จะส่งผลต่อการทำงานของเซลลกล้ามเนื้อต่างๆ ในร่างกาย ให้ทำงานได้ดีขึ้นตามไปด้วย
    เซลล์ต้นกำเนิด คืออะไร
เซลล์ต้นกำเนิด เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิต นับตั้งแต่เมื่อสเปิร์มได้ผสมกับไข่ เซลล์ต้นกำเนิดหนึ่งเซลล์จะเริ่มแบ่งตัวจากหนึ่งเป็นสอง สองเป็นสี่ สี่เป็นแปด ทวีคุณขึ้นเรื่อยๆ และพัฒนาตัวเองไปเป็นเซลล์กว่า 200 ชนิด เพื่อประกอบขึ้นเป็นร่างกายมนุษย์จนสมบูรณ์ในครรภ์มารดา หรือจะกล่าวว่าเซลล์ต้นกำเนิด คือเซลล์อ่อนที่ยังไม่พัฒนาตัวเองจนสมบูรณ์ก็ย่อมได้
เซลล์ต้นกำเนิดสามารถเจริญเติบโต แบ่งตัวเองขึ้นมาใหม่ได้อย่างไม่จำกัด และมีศักยภาพพอเพียงที่จะพัฒนาไปเป็นเซลล์ชนิดต่างๆ ได้แทบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นเซลล์สมอง เซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์เม็ดเลือด และเซลล์กระดูก
โดยเซลล์ต้นกำเนิดทุกชนิดจะมีลักษณะพิเศษที่สำคัญสามประการ คือ

  1. สามารถแบ่งตัวเองขึ้นใม่ได้ตลอดเวลา ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม และมีสารอาหารที่เพียงพอ
  2.  ในกรณีที่แบ่งตัวแล้ว ยังต้องคงสภาพการเป็นเซลล์ที่ยังไม่ทำหน้าที่เฉพาะเจาะจงเอาไว้ด้วย
  3. สามารถพัฒนาตัวเองไปเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่เฉพาะเจาะจงได้มากกว่า 200 ชนิด

สำหรับเซลล์ปกติในร่างกายมนุษย์นั้น จะทำหน้าที่เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหน้าที่ของตนเองได้ เช่น เซลล์สมอง ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจได้ อีกทั้งยังไม่สามารถพัฒนาหรือแบ่งตัวต่อไปได้ ดังนั้น เมื่อเซลล์เหล่านี้ตายลง ก็จะไม่มีเซลล์ใหม่มาทดแทน
    กำเนิดเซลล์ต้นกำเนิด
เซลล์ต้นกำเนิดได้ถูกค้นพบในไขกระดูกเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2503 โดยสองนักวิจัยชาวแคนาดา คือ ดร.เจมส์ อีริล และ ดร.เออเนส เอ แมคคอลัฟ นับแต่นั้นเป็นต้นมา การพัฒนาและวิจัยเกี่ยวกับเซลล์ต้นกำเนิดก็ได้ดำเนินมาอย่างไม่หยุดยั้ง จนถึงปัจจุบัน
    เซลล์ต้นกำเนิด คือของขวัญแห่งสหัสวรรษของมวลมนุษยชาติ เพราะเซลล์ต้นกำเนิดสามารถช่วยให้เราซ่อมแซมตัวเองได้ เช่นเดียวกับปลาดาวยามเมื่ออวัยวะฉีกขาด ก็จะเกิดการงอกอวัยวะเดิมขึ้นมาใหม่เป็นการทดแทนใหม่ เพียงแต่ศักยภาพในการซ่อมแซมตัวเองตามธรรมชาติของมนุษย์นั้นยังมีขีดจำกัด หากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และการคิดค้นพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ได้ทำให้เซลล์ต้นกำเนิดสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดนั้นไปได้ในระดับหนึ่ง และถูกนำไปใช้ประโยชน์ในวงการแพทย์อย่างมากมาย
ในปัจจุบันนี้มีการค้นพบวิธีรักษาโรคด้วยเซลล์ต้นกำเนิดแล้ว 100 กว่าโรค เช่น โรคโลหิตจาง, โรคธาลัสซีเมีย โรคพันธุกรรมที่เกี่ยวกับการทำงานของไขกระดูกที่บกพร่อง โรคความผิดปกติเกี่ยวกับระบบเมตาบอลิซึม โรคภูมิแพ้ และโรคที่เกิดจากความเสื่อมต่างๆ ส่วนมะเร็งชนิดต่างๆ ก็มี เช่นโรคมะเร็งเม็ดเลือด มะเร็งเต้านม มะเร็งสมอง มะเร็งของไต และมะเร็งกระดูก เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายโรคที่อยู่ระหว่างการวิจัย เช่น โรคอัลไซเมอร์ โรคพากินสัน โรคมะเร็งบางชนิด โรคไตวาย และโรคตับ
              ในอนาคตอันใกล้ เซลล์ต้นกำเนิดยังนำมาใช้ทดแทนการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย และจะสามารถช่วยคนได้มากกว่า 120 ล้านคนทั่วโลก ให้หายขาดจากโรคที่ปัจจุบันยังไม่มีทางรักษา และส่งผลให้มนุษย์มีอายุขัยโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น
stem cell คือเซลล์ต้นกำเนิดที่จะเจริญเติบโตไปเป็นเซลล์อื่นๆ ทั่วร่างกาย และเป็นความหวังของมนุษย์ในอนาคต เพื่อที่จะต่อชีวิตให้ยืนยาวได้...ก่อนที่เราจะมารู้จักกับเซลล์ต้นกำเนิดของพืช (Phyto Stem Cell) เรามาเรียนรู้กันก่อนว่า "เซลล์ต้นกำเนิด" (ต่อไปจะเรียกว่า Stem cell) คืออะไร
   1.เมื่ออสุจิของเพศชายผสมกับไข่ของผู้หญิง (หรือเกสรตัวผู้ผสมกับเกสรตัวเมีย – ในพืช) เราเรียกปฏิกิริยาตอนนี้ว่า การปฏิสนธิ (Fertilization) หลังจากนั้นรังไข่ที่ถูกผสมแล้วจะแบ่งตัวเองเป็นเซลล์หลายเซลล์
   2.จนเวลาผ่านไป 5 วัน ตัวอ่อนจะแบ่งเซลล์ถึงประมาณ 80 - 100 เซลล์ และเจริญเป็นตัวอ่อนระยะบลาสโตซิสท์ (Blastocyst
   3.และภายในบลาสโตซีสจะมีการหนาตัวขึ้นมาของเซลล์ เราเรียกเซลล์กลุ่มนี้ว่า Inner cell mass ซึ่งก็คือ เซลล์ต้นกำเนิด (Stem cell) นั่นเอง
   สรุปได้ดังนี้    
    เซลล์พวกนี้จะเจริญเติบโตต่อไปเป็นเนื้อเยื่อต่างๆ ทั่วร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นเซลล์ผิวหนัง เซลล์ประสาท เซลล์ตับ หัวใจเป็นต้น
แต่... ประเด็นที่สำคัญก็คือ Stem cell นี้สามารถจะเจริญเติบโตไปเป็นอวัยวะทั้งส่วนได้ นี่จึงเป็นความหวังของมนุษย์ชาติ ซึ่งเชื่อกันว่าในอนาคต เราสามารถที่จะใช้ Stem cell นี้ในการสร้างอวัยวะทดแทนขึ้นมาได้ เมื่ออวัยวะส่วนนั้นเสียหายอันเกิดมาจากอุบัติเหตุ หรือจะเป็นมะเร็งก็ตาม

            “สเต็มเซลล์ (Stem Cell) หรือที่เรียกว่าเซลล์ต้นกำเนิด เป็นเซลล์อ่อนที่พร้อมจะเจริญเติบโต แบ่งตัวเองขึ้นมาใหม่ และเปลี่ยนแปลงเพื่อไปทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่ง เซลล์แต่ละเซลล์ในร่างกายของมนุษย์จะทำหน้าที่จำเพาะอย่างใดอย่างหนึ่งโดย ไม่ย้อนกลับมา ซึ่งเซลล์ที่พัฒนาไปจนสุดทางจนเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่เฉพาะเจาะจง
              ตัวอย่างเช่น เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ หรือเซลล์สมอง เซลล์เหล่านี้เมื่อตายไปแล้ว จะไม่มีเซลล์ใหม่มาทดแทน ในขณะเดียวกันร่างกายของคนเราก็ยังมีเซลล์อีกกลุ่มหนึ่งที่สามารถเติบโตได้อีก โดยสเต็มเซลล์ หรือเซลล์ต้นกำเนิดพวกนี้สามารถพัฒนาไปเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่เฉพาะเจาะจงได้ 

เซลล์ต้นกำเนิด
เซลล์ต้นกำเนิดที่สามารถขยายแตกหน่อสร้างเป็นเซลล์ลูกได้
เรียกเป็นภาษาไทย  "เซลล์ต้นกำเนิด" มีคุณสมบัติเด่น ประการ คือ:-
สามารถแบ่งตัวเพิ่มจำนวนได้และ
สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์ชนิดอื่นได้


ดัง นั้น Stem cell จึงเป็นเซลล์ที่ไม่มีความเฉพาะเจาะจง สามารถแบ่งตัวเองได้อย่างไม่จำกัด นอกจากนี้ยังสามารถเข้าไปทดแทนเซลล์ที่กำลังเสื่อมสลายได้ อันเนื่องมาจากสาเหตุต่างๆ ...
และเราจะพบเซลล์พวกนี้ได้ที่ไหน?
เราสามารถพบเซลล์พวกนี้ได้ในระยะบลาสโตซิส (Blastocyst) ซึ่งเป็นเซลล์กลุ่มแรก ที่เริ่มพัฒนาขึ้นมาภายหลังการปฏิสนธิระหว่างตัวอสุจิและรังไข่ เซลล์พวกนี้อยู่ในชั้น Inner cell mass ดังนั้นจึงถือได้ว่า เป็นเซลล์ต้นกำเนิดของเซลล์ทุกชนิดในร่างกาย แต่... ประเด็นที่สำคัญยิ่งก็คือ -- เมื่ออายุมากขึ้น เซลล์กลุ่มนี้ก็จะค่อยๆ หายไป และพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปเป็นอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย เซลล์ต้นกำเนิดประเภทนี้
นักวิทยาศาสตร์เรียกกันว่า -- Embryonic Stem Cell (ES Cell)
        จากนั้น ใน ปี พ.ศ. 2541 นักวิทยาศาสตร์สามารถเพาะ ES cell ขึ้นมาได้ในห้องทดลอง โดยเพาะมาจากเซลล์ตัวอ่อนของมนุษย์และเซลล์สืบพันธุ์ และสามารถพัฒนาขึ้นมาเป็นสายพันธุ์ของเซลล์ได้สำเร็จ
        ในปี พ.ศ. 2544 เซลล์ต้นกำเนิดจากตัวอ่อนก็ถูกพัฒนา โดยนำไปเพาะพันธุ์เป็นเซลล์เม็ดเลือดแดงได้สำเร็จเป็นครั้งแรก -- จากจุดนี้เอง ที่นับว่าเป็นความก้าวหน้าอันสำคัญยิ่งของงานวิจัยทางการแพทย์ ซึ่งจะสามารถนำไปใช้ในรักษาโรคต่างๆ ได้อีกมากมาย
ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ได้ใช้เซลล์ต้นกำเนิด 2 ชนิด เพื่อนำมาทดลองวิจัย
1. เซลล์ต้นกำเนิดจากตัวอ่อน (ES Cell)
2. เซลล์ต้นกำเนิดในผู้ใหญ่ (Adult Stem Cell)

           เซลล์ต้นกำเนิดในผู้ใหญ่นี้ได้มา จากร่างกาย และมีความสามารถในการแบ่งตัวได้น้อยกว่า ES cell แต่สามารถพบได้ในอวัยวะหลายชนิดในร่างกาย โดยเฉพาะในเนื้อเยื่อที่มีการสร้างเซลล์ทดแทนอยู่ตลอดเวลา เช่น เซลล์ผิวหนัง เซลล์ไขกระดูก (ผลิตเม็ดเลือดแดง) เซลล์เยื่อบุทางเดินอาหาร เซลล์สมอง เซลล์ประสาทและเซลล์หัวใจเป็นต้น แต่จุดที่ต่างจากจาก ES cell อย่างมากก็คือ เซลล์ต้นกำเนิดในผู้ใหญ่นี้ จะสามารถสร้างทดแทนอวัยวะได้เพียงบางส่วนเท่านั้น ในขณะที่ ES cell สามารถจะสร้างทดแทนอวัยวะได้ทั้งหมด..
ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ได้นำเซลล์จากรกของคน ซึ่งพบว่า มีคุณสมบัติที่ใกล้เคียงกับ ES cell มากและสามารถเติบโตซ่อมแซมเซลล์ที่เสื่อมสลายไปได้เป็นอย่างดี โดยนำมาสกัดผ่านกระบวนการทางชีวะภาพ จนได้เป็นสารสกัดที่บริสุทธิ์ และนำมาฉีดเข้าสู่ร่างกาย พบว่าสามารถช่วยให้คนไข้ที่ป่วยเป็นโรคพาร์กินสัน หรืออัลไซเมอร์ (เป็นโรคที่เกิดจากการเสื่อมของเซลล์ประสาทและเซลล์สมอง) มีอาการดีขึ้นอย่างมาก และที่สำคัญก็คือ ช่วยให้ผิวพรรณที่เสื่อมโทรมลงตามวัยสามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้
             เมื่อเร็วๆ นี้ นักวิทยาศาสตร์ก็ได้ก้าวหน้าขึ้นมาอีกขั้น ด้วยการนำเซลล์ตัวอ่อนที่ได้จากเซลล์ของพืช พัฒนาขึ้นมาและได้นำไปทดลองใช้กับผิวหนังของสัตว์ทดลอง พบว่า สามารถซ่อมแซมผิวหนังส่วนที่เสื่อมโทรมได้ และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินได้อย่างมีประสิทธิภาพ!
คาดว่า ในอีกไม่กี่ปี เราคงจะได้สัมผัสกับนวัตกรรมนี้ ซึ่งแน่นอนว่า ในโลกของความงาม พวกเราคงจะได้ยินชื่อนี้กันตลอด

         เปรียบเทียบข้อดี - ข้อเสีย
ระหว่าง Stem cell จากพืช (Phyto Stem Cell) และ Stem cell ที่สกัดจากรกเด็กและรกสัตว์)


(Uttwiler Spatlauber) และ PhytoCellTec  Solar Vitis PhytoCellTec  เป็นสเต็มเซลล์ขององุ่น นอกจากนี้ยังมี บลูเบอรี่ (Blue Berry) อาไซอิ เบอรี่(Acai Berry) ซึ่งทั้งหมดถูกบรรจุรวมอยู่ใน Double stemcell เพื่อให้สามารถซึมสู่เซลล์ ช่วยบำรุงผิวจากภายใน บำรุงให้เซลล์ของร่างกายมีอายุยืนยาวขึ้น ซึ่งเป็นผลทำให้ชะลอเวลาอายุของผิวได้ ให้ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์ และมีสุขภาพที่ดี

Pages - Menu